เมื่อลูกอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ และภาษาไทยก็เช่นเดียวกัน … พ่อแม่บางท่านอาจเกิดความกังวลโดยเฉพาะกับผู้ปกครองโรงเรียนนานาชาติ ที่ไม่ใช่ Native Speaker ซึ่งอาจกลัวว่าลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อน เช่นเดียวกันกับพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนที่ไม่เน้นวิชาการในโรงเรียนอนุบาล พอย้ายโรงเรียนอาจจะประสบปัญหาการปรับตัวไม่ทัน บางท่านลูกอายุ 6 ขวบแล้วยังอ่านหรือเขียนไทยและอังกฤษไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นเรื่องปกติของเด็ก แต่ถ้าหากพ่อแม่จะพาลูกย้ายไปเรียนโรงเรียนที่เน้นวิชาการมากขึ้นบางท่านก็กลัวว่าลูกจะสอบได้ไหม เรียนได้หรือเปล่า … บทความนี้เราเขียนเล่าจากประสบการณ์ เพื่อแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาลูกอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกและเขียนไม่ได้ รวมทั้งการสอนอ่านและเขียนภาษาไทยให้ลูกแบบไม่เครียด 3-6 เดือนก็เริ่มเห็นผล
คุณอาจสนใจ
สอน Phonics ลูก แก้ปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก
จากประสบการณ์ของผู้เขียนซึ่งเป็นครอบครัวที่ไม่ใช่ Native Speaker ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และเมื่อส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ เรียน Phonics เรียนการอ่านภาษาอังกฤษ เขียนภาษาอังกฤษ และ ออกเสียงภาษาอังกฤษ … คุณครูประจำชั้นก็มีวิธีช่วยเหลือคุณแม่ดังนี้ ซึ่งคุณแม่ทำแล้วก็ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกขอบคุณคุณครูประจำชั้นของน้องจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
1. ทำความรู้จักตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้ง 26 ตัว สอนเด็กอ่านภาษาอังกฤษ
เริ่มต้นของการสอนภาษาอังกฤษ พ่อแม่อาจสอนให้ลูกรู้จักตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z ทั้ง 26 ตัวก่อน ให้ลูกเขียนตัว A-Z เล่น ๆ ในกระดาษ บางท่านอาจเตรียม Card ที่มีตัวอักษร A-Z พร้อมภาพประกอบ เช่น A is for Ant ไว้ให้ลูกเล่นด้วยกัน สามารถสอนลูกเป็นคำ ๆ เช่น B is for Boy หรือ เบอะ เบอะ เบอะ บอย
นอกจากดู Card ทายอักษร คุณพ่อคุณแม่สามารถหา Tracing Letter หรือใบงานภาษาอังกฤษ ฝึกเขียนตามเส้นให้ลูกเขียนเล่นได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าลูกจะเขียนถูกหรือผิด สวยหรือไม่สวย หันหน้าผิดด้านก็ไม่ควรตำหนิหรือลงโทษด้วยการคัดลายมือ เพราะจะทำให้เด็กเสียกำลังใจหรือกลัวการเรียน เข็ดขยาดจนไม่อยากเรียนไปเสียอย่างนั้น ให้เด็กเขียนตามใจเขาก่อน เพียงแต่พยายามสอนให้รู้จักว่า A คือตัวเอ ไปจนถึงตัว Z ให้ได้ก่อน เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนทำความรู้จัก
2. เริ่มสอนคำง่าย ๆ ปูพื้นฐานก่อนสอน Phonics
หลังจากลูกรู้จัก A-Z แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษให้ลูกพูดตาม โดยใช้ Card รูปภาพ หรือจะปริ้นท์ Card คำศัพท์ออกมาจากในอินเตอร์เน็ตหรือใช้เพลง Youtube เปิดให้ฟังแล้วดูด้วยกันก่อนที่จะมาเล่นเกมทาย Card คำศัพท์ด้วยกันก็ได้
การสอนคำศัพท์ง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น
- A is for Ant .. แอ่ะ แอ่ะ แอ่ะ แอนท์ (จะร้องเป็นเพลงก็ได้)
- B is for Boy
- C is for Car
- J is for Jellyfish
การสอนคำศัพท์ง่าย ๆ พร้อมกับบอกว่า A is for Ant จะเป็นการชี้นำแนวทางให้ลูกได้เรียนรู้การสะกดคำศัพท์พร้อมออกเสียงเรียน Phonics ในขั้นตอนถัดไปค่ะ
3. การออกเสียง Phonics
เมื่อลูกพร้อมและรู้จักตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้ง 26 ตัวแล้ว นั่นแปลว่าลูกพร้อมที่จะเรียนรู้ Phonics แล้วค่ะ โฟนิกส์ หรือ Phonics คือการอ่านภาษาอังกฤษโดยการเชื่อมโยงหน่วยเสียงเข้าด้วยกัน เช่น CAT อ่านว่า “เข่อะ แอ่ะ เถอะ” รวมกันออกเสียงว่า “แคท” แต่จะออกเสียงภาษาอังกฤษให้ชัดเจนก็ต้องอาศัยลิ้นแตะฟัน หรือส่วนต่าง ๆ ในปากให้ถูกต้อง เราแนะนำให้ดูคลิปใน Youtube เช่น Jolly Phonics เพื่อออกเสียงตามค่ะ (ตัวอย่างคลิปเลื่อนดูด้านล่าง)
ทีนี้พอลูกเรารู้จักพยัญชนะ A-Z แล้ว และรู้คำศัพท์คร่าว ๆ แล้ว เราสามารถสอนลูกต่อได้ว่า A-Z ออกเสียงอย่างไร ซึ่งในส่วนนี้ จะมีคลิปสอนการออกเสียงแบบ Phonics ใน Youtube ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งอเมริกันหรืออังกฤษ ก็สามารถเสิชดูได้ค่ะ ในส่วนนี้ แม้คุณพ่อคุณแม่ไม่เก่งภาษาอังกฤษหรือพูดอังกฤษไม่ได้อ่านไม่ออก ก็สามารถสอนได้เช่นกัน เป็นการเริ่มต้นเริ่มพร้อมกับลูกเลย ขั้นตอนมีดังนี้ค่ะ
- เปิดคลิปใน Youtube หาการออกเสียง Phonics คุณแม่หรือคุณพ่อ เปิดฟังแล้วเรียนพร้อมกับลูกเลยค่ะ ผู้เขียนเองก็ไม่เคยเรียน Phonics เรียนพร้อมกันกับลูก 4.5 ขวบ ก็เรียนสำเร็จพูดได้พร้อมกันค่ะ
ตัวอย่างคลิป การออกเสียง Phonics
คุณพ่อคุณแม่ดูในคลิปแล้วจำเลยค่ะ คือแค่เพียงจำเสียงทั้ง 26 เสียงตามคลิปนี้ จำว่า A ออกเสียงยังไง L ออกเสียงยังไง ดูปาก ดูลิ้น ดูคอ ซึ่งในคลิปเน้นไว้ให้แล้ว ก็จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สอนโฟนิกส์ลูกได้ด้วยตัวเองแม้ว่าพ่อแม่จะไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ตามค่ะ
4. ฝึกโฟนิกส์เริ่มต้นด้วยการเล่นเกม
หลังจากดูคลิปวิธีออกเสียง Phonics เรียบร้อยแล้ว ลำดับถัดไป เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ให้ลูกอ่านภาษาอังกฤษได้ คือ การเล่นเป็นเกมค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถปริ้นท์ ตัวอักษร A-Z แล้วตัดออกมาเป็นแผ่นพร้อมนำไปเคลือบแข็ง (หรือจะไม่เคลือบก็ได้) แล้วสลับ Card นี้ ทายกับลูกค่ะ
ตัวอย่าง Jolly Phonics Cards : In Print Letters
เช่น ชูการ์ดที่มีตัวอักษร A,B,C ขึ้นมา แล้วให้ลูกออกเสียงค่ะ เช่น A ออกเสียงแอ่ะ B ออกเสียงเบ่อะ C ออกเสียงเข่อะ หากลูกออกเสียงถูกอาจจะให้สติกเกอร์เป็นกำลังใจให้กับลูกค่ะ
หากไม่อยากซื้อ Phonics Flash Card จะทำเองได้ไหม
คำตอบคือได้ค่ะ เขียนบนกระดาษ A4 แบบบ้าน ๆ แล้วตัดเป็นแผ่นเล็ก ๆ ได้เลยค่ะ หรือ จะ Print แล้วตัดเป็นแผ่นเล็ก ๆ พร้อมนำไปเคลือบพลาสติกเพื่อความคงทนก็ได้ค่ะ เราซื้อเครื่องเครือบกระดาษจากลาซาด้าราคาหลักร้อยมาเคลือบเล่นกับลูกอยู่ค่ะ
อ่านเพิ่มเติม รีวิว วิธีสอน Phonics เด็ก 4-6 ขวบ วิธีสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษ แบบโรงเรียนนานาชาติ
5. ผสมเสียง หรือ Blend เสียง
เมื่อลูกจำการออกเสียงแต่ละตัวแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถลองสอนลูกให้ผสมคำหรือ Blend เสียง การผสมเสียงก็คือการออกเสียงแต่ละตัวแล้วอ่านรวมกัน เช่น CAT ออกเสียงว่า เข่อะ แอ่ะ เถ่อะ แคท โดยเริ่มจากคำง่าย ๆ ก่อน … ส่วนคำว่า Queen, Star จะเป็นระดับที่ยากขึ้นมาหรือ Challenge ขึ้นมาหน่อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องสอนลูกออกเสียง Qu, St เป็นต้นก่อนค่ะ (อ่านเพิ่มเติม รีวิว วิธีสอน Phonics เด็ก 4-6 ขวบ วิธีสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษ แบบโรงเรียนนานาชาติ)
6. รู้จักกับ Tricky Words
ภาพจาก www.twinkl.co.th
ในภาษาอังกฤษจะมีคำบางคำที่ออกเสียงไม่เหมือนกับที่เห็น คำที่ออกเสียงยาก และอาจจะสะกดยากด้วย เรียกว่า Tricky Word เช่น คำว่า The, Was, There, Were เป็นต้น คำเหล่านี้ลูกจะต้องจำ เพราะบางครั้งไม่ได้ออกเสียงตามที่สะกด คุณพ่อคุณแม่อาจทำเป็นการ์ดเขียนคำ Tricky Words ทั้งหลายลงในกระดาษ ให้ลูกอ่านและให้สติกเกอร์กล้าหาญหรือยอดเยี่ยมหรือพยายามได้ดี เป็นรางวัลให้กับลูกค่ะ
7. สอนลูกให้รู้จัก CVC Words และอ่านนิทาน Phonics
ภาพจาก amazon.in
เมื่อลูกรู้เริ่มคุ้นเคยออกเสียง Phonics ได้คล่องแล้ว ทีนี้จะเป็นการเริ่มสอนให้ลูกรู้จักแยกว่าตัวอะไรคือ Vowel (เสียงสระ) ตัวอังกฤษอะไรคือ Consonant (เสียงพยัญชนะ) … ตัวอย่าง Vowel คือ A,E,I,O,U เป็นสระ เวลาเจอคำว่า CAT ลองให้ลูกช่วยกันแยกพร้อมกันกับพ่อแม่ว่าอะไรคือ Vowel อะไรคือ Consonant หรือจะขีดเส้นใต้คำที่เป็น Vowel ในกระดาษก็ได้ …
แต่หากลูกยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้และแยกคำศัพท์ อาจให้ลูกอ่านหนังสือนิทาน Phonics ไปก่อน เช่น หนังสือนิทาน Phonics Oxford Reading Tree ซึ่งมีตั้งแต่ระดับ 1 เป็นต้นไป หรือ ของสำนักพิมพ์ Scholastic ก็ได้เช่นกัน โดยควรเลือกให้เหมาะกับหลักสูตรที่ลูกเรียน เช่น หากเรียนโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษคุณอาจเลือกหนังสือนิทาน Oxford เพราะที่โรงเรียนอาจใช้เล่มเดียวกัน … คุณสามารถทำข้อตกลงกับลูกว่าวันนี้แม่อ่านนะ อีกวันลูกอ่านเอง สลับกันไป ในช่วงเริ่มต้นลูกอาจไม่อยากอ่านเลยเพราะกลัวการเริ่มต้น คุณอาจให้กำลังใจลูกด้วยการบอกว่าถ้าหากลูกอ่านคุณแม่จะมีสติกเกอร์กล้าหาญให้ ทำแบบนี้ประมาณ 1-3 เดือนลูกก็จะเริ่มอ่านภาษาอังกฤษระดับง่ายได้แล้วค่ะ
8. ลุยต่อด้วยการอ่านพยัญชนะ CCVC และ CVCC เมื่อลูกพร้อม
- CCVC คือคำที่เริ่มต้นด้วย พยัญชนะ 2 ตัว ตามด้วยสระ 1 ตัวและปิดท้ายด้วยพยัญชนะ เช่นคำว่า Trap (TR เป็นพยัญชนะ A เป็นสระ ส่วน P เป็นพยัญชนะ ผสมเสียงออกมาเป็น แทรป)
- CVCC คือคำที่เริ่มต้นด้วย พยัญชนะ ตามด้วยสระ และ พยัญชนะอีก 2 ตัว เช่นคำว่า PANT (P พยัญชนะ, A สระ, NT พยัญชนะ ผสมเสียงออกมาเป็น แพนท์)
ตัวอย่าง CCVC Words ใน Phonics ภาพจาก www.twinkl.co.th
CCVC เช่น tr, ch, st, gr, sh
ที่สะกดเป็นคำออกมาเช่น trap, chain, stop, shop
ตัวอย่าง CVCC Words ใน Phonics ภาพจาก www.twinkl.co.th
CVCC เช่น nt, st, rt, lk, nt
เช่น pant, fast, milk, want
หลักการในข้อนี้ คือสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่แอดว๊านซ์ขึ้นมาหน่อยให้กับลูกค่ะ เช่นคำว่า Train จะเป็นการสอนว่า TR ออกเสียงด้วยกันว่า เถ้อะ-เอ้อ-เอย์-อึน ออกเสียงว่าเทรน แปลว่ารถไฟค่ะ
9. ลูกเก่งแล้วนะ ลุยพยัญชนะ Digraph ต่อเลย
ทีนี้จำย้อนกลับไปข้อ 1-2 ที่เราเคยเอ่ยถึงเรื่องการสอนลูกว่า A is for Ant ได้ไหมคะ? เราจะใช้คอนเสปต์เดียวกันในการสอน Phonics ให้ลูกอ่านภาษาอังกฤษออกในขั้นถัดไปค่ะ เสียงสระ Digraph จริง ๆ สามารถสอนไปพร้อมกับข้อ 1-2 เลยก็ได้ค่ะ … Digraph คือเสียงสระสองตัวที่รวมกันแล้วทำให้เกิดเสียงเดียวค่ะ เช่น /oa/ ออกเสียงว่า โอ , /oo/ ออกเสียงว่าอู, /ee/ออกเสียงว่าอี, /ai ออกเสียงว่า เอย์
ภาพจาก www.twinkl.co.th
ตัวอย่างการสอน Phonics ลูก
- โชว์การ์ดรูปฝน แล้วสอนให้ออกเสียงตามว่า Ai, Ai What a rain หรือ เอย์ เอย์ วอท อะ เรน
- โชว์รูปตา แล้วสอนลูกให้ออกเสียงตามว่า Ee, Ee, I can see หรือ อี อี ไอ แคน ซี
- โชว์รูปเด็กเล่นด้วยกัน แล้วสอนออกเสียงว่า Oi oi, Let’s all join หรือ อ็อย อ็อย เล็ทส์ ออล จอย
การสอนเหล่านี้จะควบคู่กันไปกับการให้ลูกอ่านหนังสือนิทาน Phonics นะคะ พอลูกเริ่มอ่านเยอะขึ้น หรือ ยากขึ้น ลูกจะเจอศัพท์ที่เหมาะสมไปตามเลเวล ซึ่งก็จะเจอคำว่า Join, Rain, See และอื่น ๆ ค่ะ
10. เสต็ปต่อไปของ Phonics คือสอน Trigraphs และ Digraph
ขั้นต่อไป จะเป็นการฝึกออกเสียง Sh, Ch และ igh รวมถึงคำอื่น ๆ ในสเตปที่ยากขึ้น … ในการอ่านหนังสือนิทาน Phonics หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าในหนังสือมีคำที่อ่านยาก คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกอ่าน อย่าเร่งหรือตำหนิลูก เพราะการตำหนิและลงโทษจะทำให้ลูกขยาด กลัว และไม่กล้าที่จะเรียนรู้ค่ะ
Digraph คือ การที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ 2 ตัว เชื่อมกันออกเสียงเป็นเสียงเดียว
Trigraph คือ เสียงที่เกิดจากตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัว เช่น Ear, Igh, Ure, Air เป็นต้น
ภาพประกอบจาก TheSchoolRun
11. ฝึกเขียนประโยคภาษาอังกฤษ
เมื่อลูกเริ่มอ่านภาษาอังกฤษออกแล้วด้วยการออกเสียง Phonics สเต็ปต่อไป การเขียนภาษาอังกฤษของลูกก็จะไม่ยากแล้วค่ะเพราะลูกสามารถลองเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้จากการเอาเสียง Phonics มาสะกดรวมกันเป็นคำ ในช่วงเริ่มต้น เด็กบางคนอาจจะสะกดผิด ซึ่งพ่อแม่สามารถปล่อยผ่านไปก่อน หากจะเน้นแต่ความถูกต้อง ลูกอาจจะกลัวเพราะรู้สึกว่าทำไม่สำเร็จ กลัวทำผิด จนทำให้ลูกไม่กล้าที่จะเขียนต่อค่ะ ตัวอย่างลูกเราตอนเริ่มต้น หลังเรียน Phonics ลูกเคยเขียนว่า I hafe A a Butterfai. เขียนผสมทั้งตัวพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก รวมทั้งสะกดคำไม่ถูก พ่อแม่ไม่ควรทักค่ะ ไม่งั้นลูกจะไม่กล้าเขียนเองอีกเลย ซึ่งเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนทักมากก็ไม่กล้าทำต่อ แต่บางคนหากทักและแก้ไขวิธีเขียนที่ถูกให้เด็กก็จะยอมรับ อันนี้พ่อแม่ต้องดูแลแตกต่างกันไปตามแต่ละเคสและฝึกให้ลูกเรียนรู้กับคำว่า Mistake หรือ ข้อผิดพลาด ว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครเพอร์เฟ็ก คนที่เก่งคือคนที่พยายาม ทำผิดก็ลองทำใหม่ ไม่มีใครทำถูกทุกอย่างตั้งแต่แรกค่ะ
12. แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ เสริมการอ่านและเขียน
ในการสอนลูกให้อ่านและเขียนภาษาอังกฤษในวัยอนุบาลหรือผู้ที่เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ คุณพ่อคุณแม่สามารถหาหนังสือ Word Scramble หรือ Word Puzzle มาให้ลูกเล่น เพื่อให้ลูกฝึกสลับคำจนเกิดเป็นศัพท์ หรือจดจำคำศัพท์ได้จากการหาและเล่นเกม Word Puzzle ซึ่งทำให้ลูกไม่ต้องมานั่งท่องคำศัพท์เป็นรายคำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษให้กับลูกในช่วงเริ่มต้นได้ดีอย่างยิ่งค่ะ
- ดาวน์โหลด ใบงานภาษาอังกฤษอนุบาล Pre-K ถึง Kindergarten
- ดาวน์โหลด Word Puzzle ชั้นอนุบาล Pre-K ถึง Kindergarten
- ดาวน์โหลด Word Scrambble ชั้นอนุบาล Pre-K ถึง Kindergarten
ที่มาที่ไป การสอน Phonics ลูก
ตามที่เกริ่นไว้ด้านบน เราส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติโดยที่เราไม่ใช่ Native Speaker ค่ะ เมื่อถึงชั้นอนุบาล 3 หรือ Reception (ลูกเรียนระบบอังกฤษ) ที่โรงเรียนลูกจะมีการสอน อ่านภาษาอังกฤษและออกเสียงแบบ Phonics ให้กับลูก นักเรียนชั้น Reception มีตั้งแต่อายุ 4 ขวบครึ่งถึง 5 ขวบ คละกันไป ผู้ปกครองจะทราบกันดีว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ลูกของเราจะสามารถอ่านออกและเขียนได้โดยที่เราไม่ต้องไปเร่งเขาเลย แต่ก็ขึ้นอยู่กับระบบของโรงเรียนที่เรียน โรงเรียนบางแห่งไม่เน้นวิชาการ โรงเรียนบางแห่งก็เน้น และผู้ปกครองบางท่านที่บอกว่าไม่เป็นไรจะอ่านได้ช้าหรือเร็วสุดท้ายก็อ่านได้เหมือนกัน แต่ผู้ปกครองท่านนั้นก็แอบเอาลูกไปเรียนเสริม พอเด็กมารวมกันในห้อง เมื่อเราเห็นว่าลูกเราทำได้ช้ากว่าคนอื่น ในบางครั้งก็ทำให้คุณแม่รู้สึกหนักใจ แต่ต้องอย่าลืมว่าเราจะไปกดดันลูกก็ไม่ควร เด็กแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกันและความพร้อมก็ไม่เท่ากัน ถ้าเราบอกลูกว่าทำไม่ดีต้องทำดีกว่านี้และเปรียบเทียบลูกกับเพื่อนก็ยิ่งจะทำให้ลูกเสียความมั่นใจในตัวเองและไม่อยากทำเอาเสียดื้อ ๆ เด็ก ๆ ต้องการกำลังใจนะคะ และไม่ว่าจะอ่านได้ช้าได้เร็ว สุดท้ายเด็กทุกคนก็จะอ่านและเขียนได้ แต่การสร้างแผลใจให้ลูกจะทำให้ลูกมีความทรงจำที่เลวร้ายแทนที่จะมีความภูมิใจที่เขาค่อย ๆ ทำได้ทีละนิด ๆ ค่ะ
หากเพื่อน ๆ มีข้อสงสัยแอดไลน์มาคุยกับคุณแม่ได้ที่ @beverlyo (มี @ นำหน้าค่ะ) แม้ว่าไม่ได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่อะไรที่พอจะช่วยเด็ก ๆ และพ่อแม่เรียนภาษาอังกฤษ ออกเสียงภาษาอังกฤษได้ คุณแม่ก็ยินดีค่ะ
สร้างบัญชี เขียนบทความและรีวิว ในเว็บไซต์ Beverly O คลิกที่นี่
คุณอาจสนใจ
- 10 โรงเรียนนานาชาติ อินเตอร์ น่าเรียน ในกรุงเทพ
- รีวิว ส่งลูกเรียนนานาชาติ อนุบาล และ ประสบการณ์ School Visit
- 10 ทักษะ “Friendship Skill” สอนลูกให้เข้ากับเพื่อน แก้ปัญหาลูกไม่มีเพื่อน
- โรงเรียนนานาชาติ
- รีวิว วิธีสอน Phonics เด็ก 4-6 ขวบ วิธีสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษ แบบโรงเรียนนานาชาติ
- รีวิวโรงเรียนนานาชาติ จากเด็กนานาชาติ ที่ตอนนี้มีลูก ก็ส่งเรียนนานาชาติ
- 7 เทคนิค ช่วยให้ลูกเรียนเก่ง ช่วยให้ลูกเรียนดี