จะส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว แต่คุณแม่ยังขับรถยนต์ไม่เป็น เลยกังวลว่าจะกล้าขับรถไปรับ–ส่งลูกดีไหม เป็นปัญหาคิดไม่ตกสำหรับแม่ ๆ หลายท่าน บทความนี้ Beverly-O มีรีวิวมาฝาก เล่าประสบการณ์การเรียนขับรถยนต์กับโรงเรียนสอนขับรถพร้อมสอบใบขับขี่ มีข้อดี–ข้อเสียอย่างไร พร้อมกับมาเล่าประสบการณ์การหัดขับรถยนต์ครั้งแรกในชีวิตของเรามาฝากค่ะ
ทำไมถึงควรเรียนขับรถยนต์ ที่โรงเรียนสอนขับ?
การที่เราขับรถด้วยตัวเองได้ จะทำให้เรามีอิสระในการเดินทางไปไหนมาไหนมากกว่าตอนขับไม่เป็น ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายในการจ้างคนขับ ความเป็นส่วนตัว ที่ตัดปัญหาไม่ต้องให้ใครมาฟังเรื่องส่วนตัวของเราเวลาเราคุยโทรศัพท์หรือคุยกับคนในครอบครัว ความปลอดภัย อาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากขับรถเองเป็น ก็เท่ากับได้เรียนรู้ทักษะสกิลขับรถติดตัว และอีกมากมาย
นี่ยังไม่รวมถึงการไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ในบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องรอใคร ก็สามารถขับรถไปเองได้ … ก็ทำให้คุณผู้ชายที่บ้านเกรงใจเราขึ้นมานิดนึงด้วย บางบ้านที่คุณพ่ออาจจะชอบทะเลาะกันแล้วขับรถออกไปนอกบ้านคนเดียว … ลองคุณแม่บ้านขับรถเป็นบ้าง แล้วพาลูกหรือพาตัวเองออกไปนอกบ้านคนเดียวไม่บอกใคร ก็อาจจะทำให้คุณผู้ชายเลิกทำนิสัยทะเลาะแล้วออกนอกบ้านคนเดียวไปได้เลยค่ะ (อย่างหลังนี้แซวเล่น อย่าทำตามจริง)
เมื่อคุณแม่ขับรถเป็นแล้ว คุณแม่จะรู้สึกได้ว่าชีวิตมีอิสระมากกว่าเดิม การออกจากบ้านแต่ละครั้งไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องค่ารถที่จะถูกชาร์จเพราะจ้างคนขับ จะเอาไปเมื่อไร ออกกี่ครั้งก็ได้ ไม่ว่าจะลืมของ ทำธุระ ทำอะไรที่ไหนก็มีอิสระไม่ต้องกังวล
ข้อดี–ข้อเสีย ของการเรียนขับรถยนต์กับโรงเรียนสอนขับรถ
1. ได้เรียนรู้เทคนิคการขับรถปัง ๆ คลายสงสัย จากครูสอนขับผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ยังไม่เคยขับรถ หัดขับรถครั้งแรกในชีวิต แบบไม่รู้จักเกียร์ หรือ จะงงว่าทำไมเวลาขับบริเวณทางโค้ง รถถึงขับล้ำเส้นไปอีกเลน ต้องขับยังไงให้รถตรงในทางโค้ง? หรือจะกลับรถ เลี้ยวรถจังหวะไหน จะแซงยังไง ต้องเหยียบคันเร่งจังหวะไหน? ใช้เวลาดูกระจกรถได้กี่วิก่อนที่รถจะเริ่มส่าย ฯลฯ คุณก็สามารถสอบถามได้ตรง ๆ ตอนครูฝึกนั่งสอนคุณอยู่ในรถ นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ที่ทีมงาน Beverly-O คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับทุกคน … เพราะว่าในบางครั้ง หากเราเรียนขับรถกับคุณสามี หรือกับคนกันเองในบ้าน ถ้าหากเขาเหล่านั้นไม่ถนัดเรื่องการพูดการอธิบาย ไม่ได้อยู่ในฐานะที่สอนขับรถเป็นอาชีพ ก็อาจจะไม่ชินเรื่องภาษาที่ใช้ในการสอน หรือไม่สามารถอธิบายเทคนิคการขับรถบางอย่างได้ดีเท่าครูที่สอนเป็นอาชีพ แล้วพาลจะให้ทะเลาะกัน จนไม่อยากจะเรียนขับรถอีกต่อไป แต่ถ้าเรียนกับครูสอนขับรถมืออาชีพ ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปค่ะ
2. เรียนแค่ 10-15 ชั่วโมง แต่เป็นชั่วโมงที่มีคุณภาพ
บางคนอาจโดนคนเฒ่าคนแก่ในบ้านแซวมาว่า ไปเรียนขับรถ 10 ชั่วโมงจะได้อะไร? ตัวเขาเองสอนลูกสาวเขาตั้ง 10 ปี กว่าจะให้ไปสอบใบขับขี่ ซึ่งก็มีประสบการณ์มากกว่าเราที่อาจจะไปเรียนขับรถ 10 ชั่วโมงแล้วสอบใบขับขี่ทันที … แต่ทว่าในความเป็นจริงที่ทีมงาน Beverly-O เจอปัญญามามันคืออย่างนี้ค่ะ ….
บางครั้งการที่คุณไปเรียน ๆ ขับเล่น ๆ กับพ่อของคุณเป็น 10 ปี โดยที่พ่อก็ใช้แค่ประสบการณ์ส่วนตัวแล้วฝึกหัดขับกันเอง คุณอาจจะได้ข้อมูลมาผิด ๆ ได้เช่นกัน อาทิ เวลาเลี้ยวรถจะต้องหักพวงมาลัยบิดให้สุดทุก ๆ ครั้ง เหมือนขับรถบั๊ม! เป็นต้น (ซึ่งอาจเป็นวิธีที่ผิด) … ซึ่งครูสอนขับรถอาจจะบอกวิธีที่ตรงกันข้ามกันมา ว่าควรดูระยะ ความเร็วรถ และการเหยียบเบรค … ไม่ควรจะบิดพวงมาลัยแบบสุดพวงหรือหักพวงมาลัยกระทันหัน เพราะว่านี่คือรถยนต์ไม่ใช่ “รถบั๊ม” นะจ้ะเธอ ซึ่งก็ทำให้เกิดอันตรายในการขับขี่ได้
โดยคุณครูจะสอนขับรถตัวจริงจะสอนให้ดูระยะ ดูจังหวะเลี้ยวรถ สอนดูระยะที่ควรเริ่มหมุนพวงมาลัยรถ การคลายพวงมาลัย ระยะที่ควรเริ่มให้สัญญาไฟเลี้ยว และอีกมากมาย รวมไปถึงต้องแตะคันเร่งอีกทีเมื่อไรหลังหมุนพวงมาลัย … ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต่อให้คุณไปฝึกขับคนเดียวหรือกับคนรู้จักมาเป็น 10 ปี แต่ถ้าหากได้ข้อมูลผิด ๆ มา ก็อาจจะทำให้ขับรถได้ก็จริง แต่ก็ไม่ปลอดภัยเท่าเรียนรู้ข้อมูลที่ถูกต้องจากครูผู้เชี่ยวชาญ และ Beverly-O มองว่า 10 ชั่วโมงที่มีคุณภาพ อาจจะคุ้มค่ากว่าการลองผิดลองถูกเองเป็น 10 ปี ก็ได้ค่ะ
3. เรียนตามเวลาที่สะดวก พร้อมสนามฝึกที่ได้มาตรฐาน
หากเราหัดขับรถยนต์ด้วยตัวเอง ก็อาจจะต้องหาสถานที่หัดขับ จะไปหัดขับที่ห้างหรือที่ส่วนบุคคลบางครั้งก็ผิดกฏของสถานที่ เพราะไม่อนุญาตให้ใช้หัดขับรถ แต่ถ้าหากเราเรียนที่โรงเรียนสอนขับ เราจะได้ฝึกบนสนามฝึกที่ได้มาตรฐาน มีครบทั้งวงเวียน ทางเลี้ยว ป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ รวมทั้งสถานที่ฝึกจอด โดยที่เราไม่ต้องแอบไปฝึกถอยหลังเข้าซองข้างรถคนอื่นให้เจ้าของรถใจหายเล่น นอกจากนี้ ยังสามารถเรียนได้ในเวลาตามที่สะดวก รถครูฝึกมีการติดตั้งเบรกฝั่งที่ครูฝึกนั่ง ไม่ต้องกังวลเรื่องอุบัติเหตุเท่าหัดขับรถด้วยตัวเอง
4. สอบใบขับขี่ได้ที่โรงเรียน
นอกจากจะมีการอบรมเหมือนกับเวลาที่เราไปสอบที่ขนส่งแล้ว ยังมีการสอนทฤษฏีการขับรถ สัญลักษณ์ ป้าย และสิ่งต่าง ๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับการขับรถ รวมทั้งสามารถสอบใบขับที่ได้ที่โรงเรียนสอนขับได้เลย ก่อนที่จะนำเอกสารไปยื่นและถ่ายใบขับขี่ที่ขนส่ง เรียกได้ว่าสะดวกมาก ๆ ค่ะ
5. มีผู้ช่วยให้คำปรึกษา แม้วันต่อใบขับขี่
สำหรับการทำใบขับขี่ หรือแม้แต่ต่ออายุใบขับขี่หลังใบขับขี่ชั่วคราว 2 ปีหมดอายุ … หากคุณเป็นนักเรียนของโรงเรียนสอนขับรถ ก็จะสามารถสอบถามรายละเอียดและเอกสารที่ต้องเตรียม หรือแม้กระทั่งสอบถามเรื่องการจองนัดในแอพลิเคชั่น ซึ่ง Beverly-O ขอแนะนำว่าข้อนี้สำคัญมาก ๆ ค่ะ เพราะว่าการทำนัดต่อใบขับขี่ในแอพลิเคชั่น หากเลือกประเภทวันจองไปผิดก็จะต้องทำคิวนัดหมายใหม่อีกครั้ง ซึ่งบางครั้งกว่าจะได้คิวก็หลายเดือนกันเลยทีเดียวค่ะ แนะนำว่าควรทำคิวนัดล่วงหน้าก่อนใบขับขี่หมดอายุ และควรศึกษาเลือกประเภทการจองให้ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเวลาไปรอเก้อค่ะ
เรียน 10-15 ชั่วโมงจะขับรถได้จริงหรอ?
เล่าประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเอง หลังจากเรียนขับรถยนต์ครั้งแรก เราก็พบว่าเราขับได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าขับหรือไม่ … เราคิดว่าถ้าเราไม่ขับ แล้วเมื่อไรจะขับได้? ทีนี้ตอนระหว่างเรียนกับครูฝึกขับ เราก็จะถามทุกคำถามที่เรารู้สึกกังวล เช่น
- เวลาจะแซงต้องทำยังไง แซงแล้วควรเร่งความเร็วเลยหรือไม่
- เวลาขับทางโค้ง ทำยังไงถึงจะไม่คร่อมไปอีกเลน
- ควรเปิดไฟเลี้ยวตอนไหน ถึงจะไม่เปิดเร็วไปจนรถด้านหลังบีบแตรด่า
- การดูกระจกข้างรถยนต์ ใช้เวลาดูได้กี่วินาที ก่อนที่รถจะเริ่มส่าย
- ระยะห่างในการขับหรือจอดเทียบกับฟุตบาล ครูสอนขับจะสอนดูว่าควรห่างกี่ฟุต โดยดูจากในกระจก
- การจับพวงมาลัยเวลาเลี้ยวรถ หมุนพวงมาลัยยังไงไม่ให้รถกระชาก
- การขับรถในโซนที่มีรถใหญ่ รถพ่วงวิ่ง ควรระวังอะไรบ้าง
- การขับรถในโซนที่มีรถมอเตอร์ไซค์เยอะ ควรระวังอะไรบ้าง
- การจอดรถ ถอยหลังเข้าซอง และท่าอื่น ๆ ที่ฝึกจอดรถโดยเปลี่ยนเกียร์ไม่เกิน 2 ครั้ง
เป็นต้น …
เรียนเสร็จแล้วจะฝึกหัดขับคนเดียวได้หรอ?
การขับรถ ใช้รถจริง ๆ หลังได้ใบขับขี่จะทำให้ประสบการณ์ของเรามีมากขึ้น ซึ่งก็ต้องพูดตรง ๆ ว่าเราต้องมานั่งคิดดูแล้วล่ะว่าถ้าไม่ขับแล้วเมื่อไรจะขับเป็น? ได้ความรู้ที่ถูกต้องมาจากโรงเรียนขับรถแล้ว แต่ถ้าไม่ออกไปขับรถยังไงก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกไม่มั่นใจ โรงเรียนสอนขับรถบางแห่งก็ยังมีคอร์สให้กลับไปเรียนอีกรอบแบบให้มีครูฝึกนั่งข้าง ๆ ขับด้วยกันไปด้วย หรือ บางคนจะให้ญาติหรือคนรู้จักที่ขับรถคล่องนั่งรถไปด้วยกันก็ได้เพื่อความสบายใจเวลาขับรถไปข้างนอกคนเดียว
ประสบการณ์ของ Beverly-O นั้น เราใช้เวลาประมาณ 3 เดือนหลังได้ใบขับขี่ ขับทุกวัน ขับไปกับญาติอย่างปลอดภัย อาจจะมีมือเปียกตื่นเต้นบ้างในวันแรก ๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้
เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับทริค และการแชร์ประสบการณ์การเรียนขับรถในโรงเรียนสอนขับ … ทั้งนี้ Beverly-O ขอแนะนำว่า คุณแม่ควรเลือกโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับมาตรฐานและได้รับการรับรองที่ถูกต้อง มีสนามขับฝึกสอนภายในโรงเรียนก็จะดีกว่า รวมทั้งเมื่อสอบใบขับขี่ผ่านแล้ว อย่าลืมติดกล้องหน้ารถ และอุปกรณ์วางโทรศัพท์มือถือในรถ เพื่อความปลอดภัยเวลาต้องดูแผนที่ หรือเพื่อที่จะได้มีอุปกรณ์บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์นะคะ และที่สำคัญที่สุดอย่าลืมทำประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุและประกันรถยนต์กันด้วยนะ! ขอให้ทุกท่านโชคดี และมีความมั่นใจในการขับรถมากยิ่งขึ้นค่า